ก่อนลงสนามจริง เรามาลองดูกันว่าต้องเตรียมความพร้อมอะไรกันบ้าง สำหรับการสมัครงาน
• เรซูเม่ หรือ CV
แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่นายจ้างจะเห็น และพิจารณาถึงคุณสมบัติของเราเป็นอันดับแรก ถ้าหากคุณสมบัติไม่ผ่านเกณฑ์ในสิ่งที่เค้ากำลังมองหา ก็คงไม่จำเป็นต้องทำความรู้จักเราในเรื่องอื่นต่อไป สิ่งที่ควรใส่ใน CV มีอะไรบ้าง
ประสบการณ์ และทักษะต่างๆ ควรบอกว่าเราเคยทำกาแฟที่ไหนมา มีประสบการณ์นานเท่าไหร่ / ทักษะการทำกาแฟมีอะไรบ้าง / เคยเรียนคอร์ส Australian Barista มาก่อนมั้ย? เพื่อยืนยันความเข้าใจในเมนูกาแฟที่ถูกต้องของออสเตรเลีย / ปกติที่ร้านเคยใช้กาแฟวันละกี่กิโล / เทลาเต้อาร์ตได้มั้ย? ลายอะไรบ้าง / หากว่ามีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลลูกค้า หรือสายงานบริการต่างๆ เช่น Customer service หรือ Hospitality ก็ควรใส่ไปด้วยเช่นกันครับ
ประเภทของ Visa ไม่ว่าจะเป็นวีซ่านักเรียน, ทำงาน, ผู้ติดตาม, Working Holiday หรืออื่นๆนอกเหนือจากนี้ ก็ควรแจ้งให้ชัดเจน เพื่อนายจ้างจะได้สามารถพิจารณาชั่วโมงการทำงานให้เราได้เหมาะสมกับวีซ่า และความถูกต้องทางกฎหมายของทั้งสองฝ่าย จะได้สบายใจ ไม่มีอะไรปกปิดกันครับ
วันเวลาที่สามารถทำงานได้ การทำงานบาริสต้าในแต่ละร้าน จะมีบาริสต้าหลายคนสลับกันเข้ามาทำงานตามตารางงานที่ร้านวางใว้ ฉะนั้นเราจึงควรแจ้งด้วยว่าเราสามรถมาทำงานได้วัน และเวลาไหนบ้าง นายจ้างจะได้จัดตารางการทำงานของบาริสต้าทุกคนในร้านได้ลงตัว ส่วนใหญ่คาเฟ่ที่ออสเตรเลียจะเปิดกันตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ จนถึงช่วงบ่ายๆครับ ฉะนั้นใครที่ว่างช่วงเช้าก็อาจจะได้เปรียบในการหางานได้ง่ายหน่อย ส่วนใครที่มีเรียนเช้าก็อาจต้องย้ายไปเรียนช่วงบ่ายแทน ถ้าหากเป็นไปได้ครับ
• บุคคลิก ทัศนคติ
เมื่อเราเดินเข้าไปสัมภาษณ์กับนายจ้าง เค้าก็จะดูเราตั้งแต่การแสดงออกทางสีหน้า - ยิ้มแย้ม สบตา ทักทาย เวลาคุยกันมั้ย / ภาษากาย - การเคลื่อนไหวช้า เร็ว การหยิบจับอุปกรณ์มั่นใจ กระฉับกระเฉงมั้ย เวลาทดลองชงกาแฟหน้าร้าน เพราะคงไม่มีใครอยากได้คนที่ทำงานเชื่องช้า หรือไม่ยิ้มแย้ม ไม่สบตา ไม่ชอบคุยกับคนอื่น มาทำงานบริการลูกค้าในร้านกาแฟด้วยหรอก จริงมั้ยครับ? ฉะนั้นเราต้องมีความเป็นตัวของตัวเอง แสดงทัศนคติที่ดีต่องาน และคนอื่น ให้เค้าเห็นว่าเรามีความกระตือรือร้น พร้อมเรียนรู้เพิ่มเติมเสมอ และตั้งใจทำทุกอย่าง ถึงแม้ว่าเราอาจจะยังไม่เก่งมากก็ตาม
สิ่งเหล่านี้ถ้าใครมีครบ ขอแสดงความยินดีด้วยครับ เสมือนคุณได้ก้าวขาเข้าไปในร้านแล้ว 1 ข้างเลยทีเดียว ถึงแม้จะยังชงกาแฟไม่เก่งที่สุดก็ตาม เพราะเรื่องกาแฟ ยังสามารถฝึกฝนกันได้ทัน แต่ทัศนคติเป็นเรื่องของจิตใจที่ฝึกให้กันไม่ได้จริงๆครับ
• ภาษา
ออสเตรเลียใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการสื่อสาร งานบาริสต้า นอกจากทำกาแฟแล้ว ยังต้องสื่อสารกับลูกค้า และเพื่อนร่วมงานตลอดเวลา ฉะนั้นภาษาจึงสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากฟังลูกค้าเวลาออเดอร์กาแฟไม่เข้าใจ นั่นหมายความว่า เราก็จะไม่สามารถทำกาแฟต่อได้ หรือลูกค้าอาจไม่ได้รับกาแฟตามที่สั่งอย่างถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์ และอาจสร้างความไม่พอใจให้ลูกค้า จนมีผลกับชื่อเสียงของร้าน และไม่กลับมาใช้บริการอีกเลย
ในส่วนของเพื่อนร่วมงาน ก็ต้องมีการสื่อสารเพื่อการแบ่งงานกันทำอย่างชัดเจน เช่น วันนี้ใครทำหน้าที่อะไรบ้าง ใครทำช็อตกาแฟ ใครสตีมนม หรือใครพักเวลาไหน เป็นต้น นอกเหนือจากนั้น การสื่อสารกันภายในทีม ยังช่วยให้ทุกคนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เมื่อสนิทกันมากขึ้น ต่อไปก็สามารถช่วยเหลือกัน และทำงานด้วยกันง่ายขึ้นด้วยครับ
ฉะนั้น ภาษาเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่ได้หมายความว่า ต้องเป็นเลิศ หรือใช้ได้คล่องเหมือนเจ้าของภาษาเลยครับ เพียงแค่เราต้องพยายามฝึกฝนประโยคที่ใช้กับลูกค้าในร้านกาแฟ และรู้คำศัพท์ที่จำเป็นเกี่ยวกับการทำกาแฟ รวมถึงฟังสำเนียงออสซี่บ่อยๆให้ชิน ก็เพียงพอที่จะสามารถทำงานได้อย่างคล่องตัวระดับหนึ่งแล้วครับ และเมื่อได้ทำงานจริงแล้ว ก็อย่าลืมหัดพูด หัดฟังบ่อยๆ จะได้ช่วยพัฒนาเรื่องภาษาให้ดีขึ้นไปอีกด้วยครับ
• ความมั่นใจ ไหวพริบ สถาณการณ์จริงเวลาทำงานกาแฟในร้าน จะเป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายพอสมควร ด้วยจำนวนกาแฟที่ถูกออเดอร์เป็นร้อยๆแก้วจากลูกค้าที่เค้ามาใช้บริการต่อเนื่องตลอดทั้งวัน ฉะนั้น ความเร็วในการทำงานจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ลูกค้าได้รับกาแฟในเวลาไม่นาน และถูกต้องตามออเดอร์ด้วยนั่นเอง ยังไม่รวมถึงออเดอร์ที่ซับซ้อนกว่าปกติ ที่ต้องการการใส่ใจในการทำมากกว่าเดิม แต่บางครั้งเมื่อเราผิดพลาด หรือเจอปัญหา เราจะสามารถใช้ไหวพริบแก้ไขปัญหานั้นได้อย่างไร เพื่อให้การทำงานของทั้งทีมยังคงต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก หรือเราจะมีวิธีการวางแผนการทำงานอย่างไร เพื่อที่จะทำกาแฟหลายๆแก้วได้พร้อมกัน และเสิร์ฟลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องคอยนาน
เมื่อถึงเวลาทดลองงาน นายจ้างก็จะสังเกตในจุดนี้ ว่าเราสามารถคุยกับลูกค้า และทำออเดอร์ออกมาได้อย่างถูกต้อง มั่นใจมั้ย จะหยิบจับอะไรก็ดูคุ้นเคยคล่องแคล่ว หรือว่าดูลังเลไปซะหมด บาริสต้าเองก็ต้องหัดเป็นคนหูตาไว เรียนรู้อะไรไว มีความจำที่ดี ใช้ไหวพริบที่มีอยู่ให้มาก เพื่อแก้ปัญหาที่อาจเกิดได้อย่างทันท่วงที และต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับงาน ทีมงาน และสภาพแวดล้อมให้ไวด้วยครับ ไม่อย่างนั้น อาจจะเป็นตัวเราเองคนเดียวที่ต้องทำงานไปอย่างไม่มีความสุขเลย
• รู้หน้าที่ ตรงต่อเวลา
คาเฟ่ก็คือธุรกิจประเภทหนึ่ง บาริสต้าเองก็เป็นพนักงานที่ควรต้องตรงต่อเวลาเสมอ ถ้าต้องเข้างานเวลาไหน ก็ต้องมาให้ทัน มิฉะนั้นก็จะมีผลกระทบกับเพื่อนร่วมงานที่ทำงานก่อน หรือต่อจากเรา นายจ้างเอง ปกติจะจ่ายค่าแรงให้เราเป็นรายชั่วโมง ฉะนั้นถ้าเรามาสาย นั่นเท่ากับว่าเราทำงานให้เค้าได้ไม่ครบชั่วโมงครับ แม้กระทั่งถ้าเรามาสายตอนเปิดร้านในตอนเช้า ซึ่งเป็นเวลาที่มีลูกค้ามาก ร้านก็อาจสูญเสียรายได้จำนวนหนึ่งเลยทีเดียว
โดยเฉพาะเวลานัดสัมภาษณ์ ถ้าเรามาสาย นายจ้างก็จะเข้าใจทันทีว่าเราเป็นคนไม่ตรงต่อเวลา ซึ่งเค้าคงไม่อยากรับเราเข้าทำงานด้วยแน่นอน
จะเห็นได้ว่า การเตรียมตัวสมัครงานบาริสต้าที่ออสเตรเลียนั้นไม่ยาก แต่ต้องมีความเข้าใจในเนื้องานก่อนว่า บาริสต้านั้นมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง เราจึงจะเข้าใจว่านายจ้างต้องการอะไรจริงๆจากเรา ฉะนั้นถ้าหากยังไม่พร้อมในเรื่องไหน ให้รีบเตรียมตัวฝึกฝนไว้แต่เนิ่นๆก่อนที่จะเดินทางไป จะได้ไม่เสียเวลา เมื่อไปถึงออสเตรเลียแล้วคิดว่า “เสียดายจัง รู้แบบนี้เราน่าจะเรียนมาก่อนจากเมืองไทย” ตอนนั้นก็สายไปเสียแล้วครับ เพราะไหนจะต้องรีบหางานหาเงินเพื่อใช้จ่ายในประเทศที่มีค่าครองชีพสูง และยังไม่รวมถึงคู่แข่งบาริสต้าเก่งๆเวลาสมัครงาน เพราะหากจะไปเริ่มใหม่ที่นู่น อาจต้องใช้เวลา และจ่ายค่าเรียนแพงกว่าเดิมครับ
คอร์สแนะนำ -> คอร์สเรียนชงกาแฟออสเตรเลีย
หลักสูตรสำหรับงานบาริสต้าในออสเตรเลียโดยเฉพาะ ไม่ต้องมีพื้นฐานก็สามารถเรียนได้
พร้อมให้คำปรึกษา แนะนำ ทุกขั้นตอน
Comments