โดยทั่วไปแล้ว ลาเต้อาร์ต (Latte Art) หรือ ศิลปะฟองนม บาริสต้าเองสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างไม่มีขีดจำกัด สามารถใช้เทคนิคที่ถนัด และจินตนากาที่มีได้อย่างเต็มที่ โดยมีรูปแบบหลักๆที่นิยมทำกันตามสากล 2 รูปแบบ คือ Etching และ Free Pour
Etching เป็นสร้างลวดลายบนกาแฟโดยการเทนมที่สตีมแล้ว ลงไปผสมกับกาแฟจนเต็มแก้ว จากนั้นตักฟองนม หรือซอสแต่งหน้าเครื่องดื่ม หยอดลงไปบนผิวเป็นเส้น หรือรูปทรงง่ายๆ แล้วจึงใช้แท่งปลายแหลม ลากผ่านฟองนม หรือซอสที่หยอดไว้ให้เป็นลายตามที่ต้องการ
Credit : รูปภาพจากอินเตอร์เน็ต
ทั้งนี้การทำ Etching นั้นเป็นวิธีที่ง่าย แต่ไม่ได้รับความนิยมมากนัก เนื่องจากสามารถทำได้เพียงบางเมนูที่มีการราดซอสเท่านั้น รวมถึงบางครั้งการวาดภาพที่มีความซับซ้อนบนฟองนมนั้น ต้องใช้เวลานานหลายนาที ส่งผลให้อุณหภูมิของเครื่องดื่มลดลง ทำให้รสชาติของกาแฟจืดชืดลงไปด้วยนั่นเอง
ส่วนการทำ Free Pour นั้น จะต่างกันตรงที่ในระหว่างการเทนมลงไปผสมกับกาแฟ จะต้องทำให้ฟองนมเกิดเป็นลวดลายต่างๆขึ้นมาบนผิวของน้ำกาแฟเลย โดยใช้อุปกรณ์เพียงแค่เหยือกนมเท่านั้น
วิธีนี้จึงยากกว่าแบบ Etching เนื่องจากต้องใช้ทักษะ และการฝึกฝนใช้ชำนาญเป็นอย่างสูง แต่กลับได้รับความนิยมมากกว่า เพราะนอกจากจะสามารถทำลวดลายได้เร็ว สามารถคงความอร่อยของเครื่องดื่มไว้ได้ วิธีนี้ยังเป็นการแสดงออกถึงทักษะความสามารถของบาริสต้าในอีกด้านหนึ่งด้วยเหมือนกัน
ในปัจจุบันยังมีการนำทั้ง 2 เทคนิคมาประยุกต์ใช้ผสมกัน เพื่อให้ได้ลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ตามแต่จินตนาการของบาริสต้าผู้ออกแบบ คือยังสามารถเทลายได้รวดเร็วตามแบบ Free Pour แต่สามารถเติมรายละเอียดเล็กๆน้อยๆให้กับลาย โดยใช้ Etching เพื่อให้ลายมีความสมบูรณ์สวยงามมากขึ้นอีกระดับ
Credit : Oneway_elly Instagram
ทั้งนี้การทำ Latte Art นั้น ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน ก็ขึ้นอยู่กับว่าบาริสต้าถนัดแบบใด หรือร้านเองต้องการสื่อสารกับผู้ดื่มอย่างไร ผ่านทางศิลปะแขนงนี้ ไม่สามารถตัดสินได้ว่าถูกหรือผิด หรือแบบไหนมีคุณค่ากว่าแบบไหน เนื่องจากศิลปะนั้น ไม่มีกฎตายตัว ไร้กรอบ หรือแบบแผน ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ทั้งผู้สร้าง และผู้เสพ คุณค่าจึงไม่เท่ากันนั่นเอง
แนะนำ -> คอร์สเรียนลาเต้อาร์ต
#สตีมนมอย่างไร #ฝึกเทลาเต้อาร์ต #ทำไมเทลาเต้อาร์ตไม่ได้